มาตรการป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID 19) มีมาตรการป้องกันไวรัสโคโรนาอย่างเคร่งครัด เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกค้าทุกท่าน พนักงานทำความสะอาดหนังสือทุกเล่มด้วยน้ำยาแอลกอฮอล์ ฆ่าเชื้อโรคและเชื้อไวรัส ห่อถุงพลาสติกอย่างดี ทุกเล่ม
BOOKPANICH
Delivering Happiness
ศูนย์รวมหนังสือเก่าหายาก (Rare Item)
และหนังสือใหม่ (ทุกประเภท) หลากหลายสำนักพิมพ์
หนังสือบางเล่ม " อาจมีราคาสูงกว่าราคาปก " เพราะเป็นหนังสือหายากมีคุณค่า เหมาะแก่การสะสม
ทางร้าน "มีต้นทุนที่สูง ในการจัดหา"
ลูกค้าสามารถ กดสั่งซื้อ หยิบลงตะกร้า (Add To Cart) ก็สั่งซื้อได้ทันที โดยไม่ต้องสมัครสมาชิกให้ยุ่งยาก
หนังสือ ไต่ฟ้ากระชากฝัน
แปล อินทนนท์
Into Thin Air ไต่ฟ้ากระชากฝัน
แปลโดยอินทนนท์
หนังสือหายาก Rare Item
สำนักพิมพ์ มติชน
จัดพิมพ์ปี 2544
ผู้เขียนคือ จอน คราเคาเออร์ นักเขียนอิสระ ของนิตยสาร เอาต์ไซด์
ที่น่าสังเกต ในกลวิธีเขียนของคนตะวันตก ที่ทำงานกึ่งนักข่าวกึ่งสารคดี เช่นอย่างจอน คราเคาเออร์ เป็นต้นวิธีการรวบรวมข้อมูล และใช้สลับฉากในการเขียนแบบนิยาย ทำให้คนอ่านรู้สึกลื่นไหลไม่ต่อต้านเหมือนกำลังถูกยัดเยียดให้อ่านงานวิชาการ ที่น่าเบื่อหน่าย (แม้เนื้อหาจะสนุกสนานก็อาจน่าเบื่อได้ถ้าทำไม่ดี) นี่เป็นหตุผลหนึ่งที่ฉันติดตามอ่านอย่างทึ่งและสนุกในการจับผิดข้อมูล เพื่อดูว่ามีบ้างไหม ที่เขาใช้วิธีนั่งเทียนเขียน แต่แทบว่าไม่พบข้อบกพร่องในการเก็บข้อมูลสัมภาษณ์เพื่อนร่วมตายแต่ละคน
"เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2539 เขาประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ในระดับความสูง 29 028 ฟุต เป็นความสำเร็จที่น้อยคนในโลกนี้จะทำได้ แต่ก็เป็นความสำเร็จที่นำความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงมาสู่เขา 8 คนในคณะ สามารถไปถึงยอด 5 คน แต่ 4 ใน 5 เสียชีวิตลงท่ามกลางพายุหิมะ และในห้วงเวลาเดียวกันนั้น มีผู้เสียชีวิต 9 คน จากคณะปีนเขา 4 คณะ และ 3 คน เสียชีวิตลงในเวลาไม่ถึง 1 เดือนต่อมา ไม่รวมถึงผู้ที่ต้อง "พิการ" ไปตลอดชีวิตอีกจำนวนหนึ่ง
นอกเหนือจากเป็นบันทึกเหตุการณ์ "จริง" อันชวนสยดสยองแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังเป็นเหมือนการ "ไถ่บาป" ของตัวเขาด้วย จอน บอกว่า"นักเขียนและบรรณาธิการที่ผมนับถือหลายคนแนะนำว่า ผมไม่ควรเขียนหนังสือเล่มนี้เร็วเกินไป พวกเขาบอกให้ผมรอสักสองหรือสามปี ทิ้งช่วงห่างระหว่างผมกับเหตุการณ์ เพื่อให้ผมสามารถเห็นภาพทั้งหมดได้ชัดเจนขึ้น คำแนะนำของพวกเขามีเหตุผลที่ดี แต่ท้ายสุด ผมก็ไม่ได้ปฏิบัติตาม เหตุผลสำคัญก็เพราะว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนนั้นกัดกร่อนชีวิตผมมากขึ้นทุกๆ วัน ซึ่งผมคิดว่าการเขียนหนังสือเล่มนี้อาจช่วยให้ผมกำจัดมันออกไปจากชีวิตผมได้ แน่นอน มันมิได้เป็นดังที่คิด..."
จอน ยังคงลบภาพที่เขาประสบออกไปไม่ได้ ภาพความตายของเพื่อนร่วมคณะที่เขามีส่วนอยู่ อ่านหนังสือของ จอน แล้ว ต้องยอมรับว่าระทึกใจ และสลดไปกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นมากๆ พร้อมๆ กับ เกิดคำถามหลายอย่าง เกี่ยวกับความทะเยอทะยานของมนุษย์ ทะเยอทะยานที่จะเอาชนะ" ทุกสิ่งทุกอย่าง" แม้มันจะไร้เหตุผล ไร้สาระ อย่างสิ้นเชิง แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่ง กระเสือกกระสนไป
หลายตอนในหนังสือเล่มนี้ พูดถึงฉาก (ที่เป็นเหตุการณ์จริง) ของนักไต่เขาที่ปีนผ่านร่างอันไร้ชีวิตของนักผจญภัยนอนแช่แข็งอยู่ในหิมะ พวกเขาหยุดมอง แล้วก็ก้มหน้าก้มตาปีนป่ายต่อไป เหมือนร่างคนตายนั้นเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง ความต้องการเอาชนะ ความทะเยอทะยานที่จะเป็นผู้พิชิต ทำให้มนุษย์จิตใจเย็นชา ตายด้าน ได้เพียงนั้น ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ ความต้องการเป็นผู้ชนะ หรือความต้องการเป็นผู้พิชิตในวันนี้ มันไม่ได้เป็นเพียงความบ้าปิ่นของมนุษย์เพียงอย่างเดียว หากแต่ปัจจุบัน มันถูกนำมาขายเฉกเช่นสินค้าชนิดหนึ่งด้วย
จอน ได้มีโอกาสพิชิตเอเวอเรสต์ ก็เพราะบริษัททัวร์ให้สปอนเซอร์แก่เขาเพื่อแลกกับการนำเรื่องราวที่เขาได้พบไปเขียน เพื่อที่จะเป็นแรงดึงดูดให้คนที่ต้องการจะพิชิตธรรมชาติอันยิ่งใหญ่มาใช้บริการบริษัททัวร์นั้น ส่วนเพื่อนร่วมคณะของเขาต้องจ่ายเงินต่อหัว ถึงประมาณ 65 000 ดอลลาร์ หรือกว่า 2.8 ล้านบาท เพื่อแลกกับการได้เป็นผู้ชนะ เงินจำนวนมหึมาที่ต้องจ่ายไป ทำให้ หัวหน้าทัวร์ มีหน้าที่ต้องพาลูกค้าไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อชื่อเสียงและหลักประกันถึงคุณภาพของทัวร์ของเขาว่าสามารถทำให้คุณพิชิตที่สุดของโลกได้ ยิ่งจำนวน "ผู้พิชิต" มีมากเท่าใด ก็จะหมายถึงจำนวน "เงิน" ที่จะหลั่งไหลเข้ามา ด้าน "ลูกค้า" เมื่อต้องจ่ายเงินไปก็ย่อมที่จะต้องเรียกร้องสิ่งแลกเปลี่ยน ให้คุ้มค่า "ที่สุด" คือต้องไปให้ถึงยอดเอเวอเรสต์ให้ได้ ไม่ว่าจะในรูปแบบใด เพียงหนึ่งนาทีก่อนที่จะถูกแบกหามลงมา หรือเพียงหนึ่งนาทีก่อนที่จะถูกแสงเจิดจ้าของแสงอาทิตย์สะท้อนกับหิมะ กรีดดวงตาให้ " มืดบอด" ไปตลอดชีวิต
"เงิน" จึงทำให้ ผู้จัดทัวร์ และลูกทัวร์ ยืดเวลาแห่งความพ่ายแพ้ของตนเองออกไปให้มากที่สุด ซึ่งการยืด "เวลาความพ่ายแพ้" ออกไปให้มากที่สุดนี้เอง ที่ทำให้ "สิ่งเลวร้าย" เกิดขึ้น คณะของ "จอน" เช่นกัน ถ้าพวกเขาตัดสินใจยอมพ่ายแพ้ "หันหลังกลับ" เมื่อรู้ว่าไม่สามารถไปถึงยอดเขาในเวลาที่กำหนด อันเป็น "เส้นตาย"
เพราะหลังจากนั้นจะต้องเผชิญกับความปรวนแปรของอากาศ ขณะที่ร่างกายไม่อาจทนได้กับการขาดออกซิเจนในเวลาที่ยาวนานได้อีกต่อไป และที่สำคัญ พวกเขาไม่ยอมแพ้ทั้งที่ธรรมชาติได้บอกถึงสิ่งผิดปกติ แม้จะไม่ชัดเจน แต่ธรรมชาติก็เที่ยงธรรมที่จะส่ง "นัย" ให้พวกเขาได้รู้ แต่พวกเขาก็นิ่งเฉย และพายุก็โหมกระหน่ำ พัดพาชีวิตของพวกเขาหลายคนล่องลอยไป...
หลังงานเขียนของ จอน ตีพิมพ์ออกไป มีข้อความปรากฏบนอินเตอร์เน็ต เป็นข้อความจากชาว "เชอร์ปา" ชนเผ่าที่อาศัยที่อยู่บริเวณเทือกเขาเอเวอเรสต์ จอนได้นำมาตีพิมพ์ในหนังสือของเขา
" ข้าพเจ้าเป็นเด็กกำพร้าชาวเชอร์ปา บิดาของข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตบริเวณน้ำตกน้ำแข็งกัมบุ ขณะที่กำลังจัดเตรียมเรือข้ามฟากสำหรับคณะสำรวจในปลายทศวรรษที่ 60 มารดาของข้าพเจ้าหัวใจวายเสียชีวิตพร้อมสัมภาระบนหลังแถวเพริเช ขณะที่ทำงานเป็นลูกหาบให้กับคณะปีนเขา ในปี 1970 พี่น้องของข้าพเจ้าอีกสามคนเสียชีวิตลงจากสาเหตุต่างๆ กัน พี่สาวและตัวข้าพเจ้าถูกจับแยกส่งตัวไปยังบ้านเด็กกำพร้าในยุโรปและอเมริกา ข้าพเจ้าไม่เคยกลับไปยังบ้านเกิดอีก เพราะรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นดินแดนต้องคำสาป บรรพบุรุษของข้าพเจ้าถูกขับไล่จากพื้นราบให้หนีขึ้นมาตั้งถิ่นฐานบนโซโลกัมบุ ที่นั่นพวกเขาได้อาศัยร่มเงาของ สการะมาตา-มารดาแห่งแผ่นดิน เป็นที่หลบภัย ซึ่งพวกเขามีหน้าที่ต้องคอยปกป้องเธอจากการบุกรุกของบุคคลภายนอก แต่เผ่าพันธุ์ของข้าพเจ้าได้ทำในสิ่งตรงข้าม พวกเขาพาคนนอกเข้ามาในที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ และพากันย่ำยีร่างกายทุกส่วนของเธอ พวกเขายืนป่าวประกาศถึงชัยชนะบนเศียรของเธอ และทำให้หน้าอกของเธอต้องเปรอะเปื้อนมีมลทิน หลายคนต้องสละชีวิตของตัวเองเป็นบรรณาการ หลายคนรอดชีวิตมาอย่างฉิวเฉียด หรือนำชีวิตคนอื่นมาถวายแทน ข้าพเจ้าไม่เคยเสียใจที่ไม่ได้กลับไปที่นั่น เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพื้นที่นั้นต้องคำสาป พวกคนนอกที่มีเงิน ถือดี คิดว่าตัวเองสามารถเอาชนะโลกได้ แต่พวกเขาไม่มีวันหนีความตายไปได้ ความตายที่ท้าทาย มารดาแห่งเทพ"เอเวอ เรสต์ !