รหัสสินค้า | SKU-30386 |
หมวดหมู่ | หนังสือ ชีวประวัติ |
ราคา | 850.00 บาท |
ลงสินค้า | 24 ม.ค. 2567 |
อัพเดทล่าสุด | 24 ม.ค. 2567 |
คงเหลือ | 0 ชิ้น |
ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
เป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ว่า “ชาวจีน” เป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยมายาวนาน เมื่อชาวจีนเริ่มอพยพมาลงหลักปักฐานที่ไทยถาวร บทบาทของชาวจีนด้านเศรษฐกิจของประเทศจึงมีมากขึ้น มีชาวจีนหลายตระกูลอพยพเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย หนึ่งในนั้นคือ “แซ่เจ็ง” จนนำมาสู่ตระกูลนักธุรกิจแนวหน้าของประเทศไทยอย่าง “จิราธิวัฒน์” แห่งเครือเซ็นทรัล
ตระกูล “จิราธิวัฒน์” ก่อร่างสร้างตัวโดย “นี่เตียง” หรือ เตียง แซ่เจ็ง ชาวจีนจากหมู่บ้านไหเค้า มณฑลไหหลำ ประเทศจีน เขาเคยอพยพมาประเทศไทยชั่วคราวครั้งหนึ่งเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เนื่องจากลี้ภัยโจรสลัดที่เข้าปล้นหมู่บ้าน ก่อนจะกลับประเทศจีนหลังเหตุการณ์นั้นสงบลง
กระทั่งอพยพเข้ามาในประเทศไทยอย่างถาวรเมื่อประมาณ พ.ศ. 2470 พร้อมกับภรรยาคือ “หวาน” และบุตรชายคนโตคือ “สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์” (เกิด พ.ศ. 2468 เมื่อแรกเกิดชื่อ ฮกเส่ง ฮกแปลว่าลาภ เส่งแปลว่าสำเร็จ เป็นบุตรเพียงคนเดียวในจำนวนทั้งหมด 26 คนของเตียงที่เกิดในประเทศจีน)
ในหนังสือ “จิราธิวัฒน์สัมฤทธิ์” ระบุว่า เตียงมี “ความตั้งใจอยากจะมาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทย… เนื่องจากเห็นว่าเมืองไทยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์และมีชาวจีนอพยพมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก” ครั้นเมื่อบิดาของเตียงเสียชีวิตและจัดการไว้ทุกข์ตามประเพณีเรียบร้อยแล้ว เตียงจึงพาครอบครัวอพยพสู่ประเทศไทยตามที่ตนตั้งใจ โดยมาอาศัยอยู่กับพ่อตาคือนายตงฮั้วและนางด่านตี๋ แซ่หง่าน ที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนแล้ว 2-3 ปี โดยเตียงได้ช่วยกิจการของพ่อตาในร้านขายข้าวสารชื่อ “อั้นฟงเหลา” บริเวณท่าช้าง วังหน้า
ต่อมาเตียงเริ่มประกอบธุรกิจของตัวเอง โดยยืมเงินพ่อตาจำนวน 300 บาท พาครอบครัวไปอาศัยที่บางมด เปิดร้านกาแฟและขายของเบ็ดเตล็ด ต่อมาย้ายไปอยู่บริเวณที่ว่าการอำเภอบางขุนเทียน ตรงข้ามสถานีรถไฟวัดจอมทอง (วัดราชโอรส) เปิดร้านในพื้นที่เล็ก ๆ เพียง 50 ตารางเมตร ขายกาแฟ อาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ และของเบ็ดเตล็ด ส่วนชั้นบนให้ภรรยารับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า
“จิราธิวัฒน์” กับจุดเริ่มต้นธุรกิจห้างสรรพสินค้า
สัมฤทธิ์ช่วยบิดาค้าขายตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่อตอนเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอมเมอร์ส แต่โรงเรียนต้องปิดชั่วคราวเนื่องจากภัยสงครามโลก เขาทำงานช่วยครอบครัวโดยการซื้อของจากกรุงเทพฯ ไปขายที่ภาคใต้และบางครั้งก็เลยไปถึงสิงคโปร์ กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง เสี่ยงชีวิตบ้าง แต่ก็มอบประสบการณ์ให้ไม่น้อย หลังสงครามยุติก็มาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ติดต่อศุลกากรนำภาพยนตร์ของบริษัทพาราเมาท์ พิกเจอร์ จำกัด มาฉายในประเทศไทย ถัดมาไปเป็นครูสอนภาษาไทยในโรงเรียนจีน “ยกหมิ่น” ที่ถนนสุรวงศ์
ต่อมาเพื่อนของสัมฤทธิ์ชวนไปขายหนังสือภาษาอังกฤษ โดยเขาทำหน้าที่เป็นพนักงานขาย (Salesman) นำหนังสือไปขายยังร้านใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ ได้ผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ตามยอดขาย ภายหลังเพื่อนเลิกกิจการไป สัมฤทธิ์จึงคิดดำเนินธุรกิจนี้เองเพราะเห็นว่าได้กำไรมาก แต่เตียงไม่เห็นด้วยเพราะเกรงว่าหากไม่ประสบผลสำเร็จจะทำให้ครอบครัวลำบากไปด้วย
แต่ด้วยความมุ่งมั่น สัมฤทธิ์เดินหน้าประกอบธุรกิจนี้ตามที่ตนตั้งใจ โดยยืมเงินบิดา 2,000 บาท สร้องคอทองคำของภรรยา (ของขวัญงานแต่ง) และเงินออมส่วนตัวจำนวนหนึ่งนำมาลงทุนธุรกิจนี้ เขานำนิตยสารของประเทศสหรัฐอเมริกามาขาย ซึ่งเป็นนิตยสารเก่าแต่สภาพใหม่ ซึ่งไม่สามารถนำออกขายนอกประเทศสหรัฐอเมริกาได้เนื่องจากติดพันสงคราม
ธุรกิจนี้ประสบผลสำเร็จด้วยดี เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ และมีข้อได้เปรียบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา กล่าวคือ ในเวลานั้น อัตราแลกเปลี่ยนเงิน คือ 1 USD = 20 THB แต่ถ้าแลกเพื่อสั่งซื้อหนังสือจะได้สิทธิพิเศษ คือ 1 USD = 10 THB และยังไม่เสียภาษีนำเข้าอีกด้วย
สัมฤทธิ์จึงนำผลกำไรมาเสนอแก่บิดาและชักชวนให้มาร่วมทุนด้วย ซึ่งเตียงก็เข้าร่วมลงทุน “เพราะคุณเตียงเห็นผลงานของคุณสัมฤทธิ์ที่สามารถประกอบกิจการจนเป็นผลสำเร็จ” จากนั้นได้เซ้งห้องแถวที่ถนนเจริญกรุง ปากตรอกกัปตันบุช สี่พระยา เปิดเป็นร้านขายหนังสือ เมื่อราว พ.ศ. 2490 ใช้ชื่อร้านว่า “ห้างเซ็นทรัลเทรดดิ้ง” อันเป็นจุดกำเนิดของห้างเซ็นทรัลในปัจจุบัน
หน้าที่เข้าชม | 1,369,309 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 16 ก.ย. 2568 |