รหัสสินค้า | SKU-00770 |
หมวดหมู่ | หนังสือ จิตวิทยา และการพัฒนาตัวเอง |
ราคา | 175.00 บาท |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | ดีมาก (95-99 %) |
ลงสินค้า | 14 ก.ย. 2561 |
อัพเดทล่าสุด | 15 เม.ย. 2565 |
คงเหลือ | 0 ชิ้น |
คับคั่งไปด้วยเพื่อนฝูงที่รักใคร่และลูกศิษย์ลูกหาที่มาร่วมแสดงความยินดีในงานเปิดตัวหนังสือ จะมืดกี่ด้านก็ผ่านได้เรื่องราวชีวิตของ กรรณิกา ธรรมเกษร เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ โรงแรมสยามซิตี
พระท่านกล่าวไว้ว่า...ชีวิตคือความไม่แน่นอน เพียงพลิกฝ่ามือ ชีวิตก็เปลี่ยนได้ โดยเฉพาะในสภาวะที่ประเทศชาติกำลังต้องการ "การเยียวยา" ในทุกจุด ถึงขนาดเจอหน้าใครยามนี้ก็มักมีคำถามเกิดขึ้นว่า "เราจะรอดไหม?"
แต่ผู้หญิงคนหนึ่งกลับลุกขึ้นมาพูดผ่านงานเขียนในหนังสือชื่อ จะมืดกี่ด้านก็ผ่านได้ ว่ารอดแน่ เพียงเราแก้ไขทุกปัญหาด้วยสติปัญญา พร้อมหัวใจที่เด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งของเรา เธอคือ กรรณิกา ธรรมเกษร ผู้หญิงที่เคยมีชีวิตเรืองรองในอดีต
กรรณิกา ธรรมเกษร ไม่ใช่ตัวละครเอกในนวนิยายของนักเขียนเลื่องชื่อ แต่เธอคือตัวจริงเสียงจริงของผู้หญิงที่มีเลือดเนื้อ หัวใจ จิตวิญญาณ เธอเกิดมาพร้อมเรือนร่าง เสน่ห์ และความงาม
ในอดีตของวันที่ท้องฟ้าเปิด เธอเจิดจรัสอยู่ในสังคมนักจัดรายการโทรทัศน์ นางเอกละคร นักธุรกิจ นักการเมือง รางวัลเกียรติยศมากมาย เดินทางเข้ามาห้อมล้อมรองรับความสามารถ กลิ่นอายความรัก ความปรารถนาดีของผู้คนรอบข้างหอมชื่น ราวกับยืนอยู่ท่ามกลางอุทยานหมู่มวลไม้ดอกหอมไร้ชื่อในวิมานเมืองแก้ว แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่ง เมื่อดวงดาวที่เคยประกายแสงงดงาม ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีหม่นเศร้าด้วยความทุกข์ เธอก็สูญสิ้นทุกอย่าง
จุดประกายวรรณกรรมคงจะไม่ถามถึงเรื่องราว ชีวิตวิกฤติ รายการทีวีถูกปิด เป็นหนี้ธนาคาร การเมืองเล่นงาน พนักงานหักหลัง สิ้นหวังในรัก ฆ่าตัวตาย หมายศาล หรือการเจ็บป่วย..เข้าโรงพยาบาลตามเนื้อหาในหนังสือ
แต่เธอยินดีที่จะเปิดมุมมอง พิเศษ ของอาชีพสื่อที่เธอเคยทำ เริ่มตั้งแต่ประเด็นความแตกต่างของการทำงานในฐานะที่เธอเคยเป็นสื่อมวลชนคนหนึ่งในยุคบุกเบิก
"สื่อสมัยก่อนมีน้อย จะระวังเรื่องของความรับผิดชอบมากๆ ก่อนงานจะออกสู่ประชาชน บรรณาธิการก็จะตรวจสอบและรับผิดชอบ เมื่อเกิดความผิดพลาดก็จะขอโทษอย่างจริงใจ แต่พอมาสมัยนี้จะมีเรื่องของธุรกิจเข้ามา มีผลประโยชน์ที่ทับซ้อนมากขึ้น ความรับผิดชอบน้อยลง สื่อก็ขยายตัวสูงขึ้น สุดท้ายก็เปิดช่องทางให้ธุรกิจเข้ามาเต็มตัว ซึ่งถือเป็นเรื่องของยุคสมัยไป"
ส่วนอาชีพนักแสดงในฐานะนางเอกละครเล่า เธอมีความรู้สึกกับนักแสดงสมัยนี้อย่างไร
"นักแสดงสมัยก่อนจะมีปณิธานในการรับผิดชอบต่อสังคมสูง ผู้ใหญ่ทั้งหลายก็จะสอนเราว่า สังคมไทยมีกรอบ มีเรื่องมาตรฐาน ศีลธรรมวัฒนธรรม อย่างฉากเลิฟซีนก็จะใช้วิธีแค่ผู้ชายกับผู้หญิงล้มตัวนอนลงไป กล้องแพนสูงขึ้น ให้คนดูจินตนาการเอาเอง ไม่ต้องอธิบายทุกอย่าง ถือเป็นการให้เกียรติผู้ชม ก่อนจะเล่นละคร ต้องซ้อมจนชำนาญ การท่องบทเป็นเรื่องสำคัญมาก เราต้องคิดไว้เสมอว่าสิ่งที่เรานำเสนอจะต้องกระทบต่อผู้ชม เราต้องทำงานอย่างเต็มที่ ทุ่มเทสุดๆ ตรงต่อเวลา และรักษาเนื้อรักษาตัวเราให้ดีที่สุด
ไม่รู้ว่าดาราสมัยนี้จะรู้ความหมายของคำว่า ดารา หรือเปล่า เพราะดาราสมัยก่อนนั้น ต้องรักษาภาพพจน์ ศักดิ์ศรี ดาราคือการอยู่บนที่สูง มีรัศมีที่สวยงาม ทุกคนต้องแหงนหน้ามองอย่างชื่นชม มองแล้วก็จะคลายทุกข์คลายโศก จะไม่มีการไปเดินห้าง หรือทำตัวให้ปาปาราซซีถ่ายไปลงสื่อ แม้จะมีครอบครัวก็ยังต้องปกปิดไว้ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ และหัวใจของแฟนเอาไว้ให้ดีที่สุด"
มาถึงเรื่องพิธีกรซึ่งถือเป็นอีกงานที่ช่ำชอง เธอบอกว่ายิ่งต้องมีความละเอียดกับเรื่องนี้
"ถ้าอยู่ในบทบาทผู้ประกาศข่าว ภาพพจน์ต้องนิ่ง และดูขลัง เสื้อผ้าไม่ใส่แบบระบายด้วยลูกไม้ย้วยไปมา ตุ้มหูที่แกว่งไปมานี่ต้องเว้น สายตาต้องไม่ลอกแลก แต่มีความเป็นมิตรไมตรี ภาษาไทยต้องชัดเจน และต้องมีปฏิภาณ ไหวพริบที่ฉับไว ความรู้รอบตัวเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
ส่วนบทบาทพิธีกรรายการสัมภาษณ์ ต้องหาความรู้เพิ่มเติม พูดเสริมเฉพาะที่มีโอกาส ต้องเปิดโอกาสให้แขกรับเชิญแสดงความคิดเห็น ยกให้แขกเป็นผู้มีภูมิรู้ ถ้าแขกไม่ตอบคำถามหรือเลี่ยงไปตอบอย่างอื่นก็อย่าไปจิก หรือจาบจ้วงล่วงเกิน ต้องคิดว่าประชาชนรู้มากกว่าที่เรารู้ อย่าประมาท เพราะมันคือการนำเสนอไปสู่ผู้คนเป็นจำนวนมาก"
คุยกับเจ้าแม่วงการสื่อในอดีต จะไม่พูดถึงเรื่องการเมืองที่เธอเคยมีโอกาสไปลิ้มลอง และกำลังเป็นประเด็นร้อนในสังคมขณะนี้ ก็ดูจะเป็นการมองข้ามเรื่องสำคัญไป
"การเมืองตอนนี้ดิฉันค่อนข้างดูน้อย ฟังน้อย เพื่อจะไม่นำมาปรุง คิดว่าการเมืองในตอนนี้ต้องนำความหลากหลายมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเพื่อให้เกิดความลงตัว นั่นคือความเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าถามดิฉันว่าจะเล่นการเมืองอีกหรือไม่ คำตอบก็คือตัวดิฉันกับนักการเมืองเหมือนน้ำกับน้ำมัน เข้ากันไม่ได้เลย เข็ดแล้วค่ะ โดยเฉพาะเข็ดวิธีคิดของนักการเมือง ซึ่งกว่าจะผ่านออกไปสู่ประชาชนได้มีหลายขั้นตอน เลี้ยวไปหลายเลี้ยว วิธีคิดของนักการเมืองต้องมีสัมมาทิฐิ สื่อ แกนนำ และประชาชน ต้องอยู่บนเส้นทางเดียวกัน ประเทศชาติจึงจะไปรอด"
มาถึงความไม่แน่นอนในแง่มุมธุรกิจบ้าง กรรณิกาได้แสดงความคิดเห็นให้นักธุรกิจทั้งหลายที่กำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤติในปัจจุบันให้พิจารณา
"เวลาเจอวิกฤติใดๆ ให้อยู่นิ่งๆ อ่านตัวเองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เห็นตัวเองให้ชัด อย่าเอาอารมณ์ เช่น โศก เศร้า เสียใจ เครียด เข้ามาเด็ดขาด เมื่อแก้ไขปัญหาไม่ได้ก็หาที่ปรึกษา ถ้าเขาไม่มีเวลาก็อย่าไปโกรธเขา เราต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองให้ได้ สติปัญญา และความเชื่อมั่นในหัวใจของเราจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ให้ดีขึ้น"
แล้วความล้มเหลวที่เคยเผชิญมาเล่า เธอมีวิธีคิดอย่างไร หลังจากที่ฝ่ามรสุมร้ายมาแล้วจึงสามารถอยู่กับมันได้อย่างไม่อาทรร้อนใจ
"เคยเครียด เคยคิดฆ่าตัวตาย แต่ในที่สุดก็คิดได้ว่าในชีวิตที่เกิดมาไม่ต้องกลัวเลยว่าความล้มเหลวจะเป็นความพ่ายแพ้ เพราะความล้มเหลวคือการเรียนรู้ คือการทำแบบฝึกหัด ความล้มเหลวก็คือหินลับมีดเราดีๆ นี่เอง ยิ่งแก้ปัญหาก็ยิ่งได้ปัญญา ยิ่งได้แบบฝึกหัดก็ยิ่งได้ความช่ำชอง"
ที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/nirunsak/2008/08/21/entry-1
หน้าที่เข้าชม | 1,369,482 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 16 ก.ย. 2568 |