หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือดีๆอีกเล่มนึงที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆได้อ่านกัน เพราะมันเป็นหนังสือที่ช่วยทำให้ผู้ที่อ่านใช้ฝึกฝนและรักษาสุขภาพของสมองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ทำให้เรามีสติและสมาธิมากขึ้น เมื่อเปิดเข้าไปข้างในเล่มจะเห็นโจทย์เลขง่ายๆทั้งเล่ม บางคนอาจนึกสงสัยว่าในการทำงานอาชีพในแต่ละวัน หรือการทำงานบ้านก็ใช้สมองมากมายอยู่แล้ว ทำไมต้องมานั่งทำโจทย์เลขง่ายๆเหมือนเด็กประถมอีก แต่จากการค้นคว้าของริวตะ คาวาชิม่า (ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้) พบว่าการทำโจทย์เลขง่ายๆนี่แหละจะกระตุ้นการทำงานของสมองได้ดีที่สุด การแก้โจทย์เลขอย่างลื่นไหลต่อเนื่อง จะเป็นการฝึกสมองแบบง่ายๆนั่นเอง ใจจริงอยากจะนั่งพิมพ์เนื้อหาวิธีการฝึกสมองซึ่งเป็นผลการศึกษาของคุณริวตะ มาให้เพื่อนๆอ่านเพราะมันน่าสนใจดี แต่จนปัญญาเพราะพิมพ์ช้า เนื้อหาก็เยอะ แต่พอดีไปเจอในเว็บบอร์ดอื่นที่เค้าคัดลอกเอาเนื้อหาในหนังสือบางส่วนมาลงไว้พอดี ลองอ่านกันดูน่ะจ๊ะหนังสือ “เลขคณิตพิชิตสมองเสื่อม” อ่านดูชื่อเรื่องตอนแรกอาจเข้าใจว่าเป็นหนังสือสำหรับให้คนมีอายุมากๆ 50 ปีขึ้นไป แต่เมื่ออ่่านเนื้อหาที่ผู้แต่งเขียนอธิบายว่าเป็นกระบวนการที่ผ่านการทดลองทางวิทยาศาสตร์มาแล้วว่าสามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของสมองได้ แล้วหนังสือเล่มนี้เหมาะกับใครบ้างล่ะ ขอลอกข้อความจากในหนังสือมาละกันคนวัยผู้ใหญ่ที่ตระหนักในปัญหาต่อไปนี้1. ขี้ลืมบ่อยขึ้น2. นึกชื่อคน หรือคำศัพท์ไม่ออกบ่อยครั้งขึ้น3. มีเรื่องอยากจะพูด แต่เรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดไม่ได้บ่อยขึ้นและขอแนะนำให้กับคนกลุ่มต่อไปนี้1. ผู้ที่อยากเพิ่มความคิดสร้างสรรค์2. ผู้ที่อยากเพิ่มพลังความจำ3. ผ้ที่อยากเพิ่มความสามารถในการสื่อสาร4. ผู้ที่อยากเพิ่มการควบคุมตนเอง5. ผู้ที่ไม่อยากความจำเสื่อมหนังสือ “เลขคณิตพิชิตสมองเสื่อม” เป็นหนังสือสำหรับคนที่อ่านหนังสือไม่จำ ต้องอ่าน!!!คุณริวตะ ได้เขียนวิธีการฝึกสมองที่มาจากงานวืจัยล่าสุดเกี่ยวกับสมอง ไว้ประมาณนี้
จากงานวิจัยการทดลองของ คุณริวตะ พบว่าแค่ "อ่านออกเสียง", "การคำนวนเลขธรรมดาๆ", "การเขียนอักษรภาพ(คันจิ)" แค่มีเวลาลองทำทุกวันก็สามารถฝึกสมองให้ปราดเปรื่องได้อย่างได้ผล ไม่ต้องมีสูตรลัดหรือวิธีซับซ้อนอะไรมากมายเลย
คุณริวตะได้เขียนบอกไว้ว่า ถ้าเทียบ ระหว่างการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์อย่างง่ายๆและเร็วๆ กับ ค่อยๆขบคิดแก้ปัญหาในขณะที่แก้ปัญหาแบบเร็วๆนั้น นอกจากลอนสมอง ส่วนประสาทตาทำงาน สมองส่วนล่างใช้ในการตีความตัวเลข ส่วนที่เป็น Wernike ซึ่งทำงานเมื่อไขความหมายของศัพท์ ส่วนยอดที่ทำงานคำนวนเหล่านี้จะทำงาน ลอนสมองส่วนหน้าซึ่งทำงานสูงสุดในสมองทั้งหมด ทำงาน ทั้ง "ซ้ายและขวา" เมื่อเทียบกับการค่อยๆขบคิด เราจะเห็นว่าสมองส่วนเดียวกันทำงานก็จริง แต่พื้นที่ใช้สมองก็จะน้อยกว่านอกจากนี้ ขณะกำลังครุ่นคิด หรือ ดู TV สมองแทบไม่ได้ใช้งานอะไรเลยดังนั้น วิธีการฝึกฝนสมอง ด้วยการคำนวนโจทย์เลขแบบง่ายๆ เป็นวิธีฝึกการใช้สมองได้ดีที่สุดในรูปแบ่งการทำงานของสมอง ส่วนหน้าใช้ในการออกกำลังกาย ส่วนยอดใช้เกี่ยวกับประสาทสัมผัส ส่วนข้างใช้ในการฟัง ส่วนหลังใช้รับสัญญานภาพ และลอนสมองส่วนหน้าเป็นแหล่งรวมพลังความสร้างสรรค์ พลังแห่งความทรงจำ พลังการสื่อสารและพลังการควบคุมตนเอง(สติสัมปัญชัญญะ)ขณะดู โทรทัศน์ TVใช้งานสมองได้น้อยเหมือนกันจนมีรายงานวิจัยเรื่องเด็กอเมริกันเคยอ้างว่า การเอาแต่ดูทีวีทั้งวันโดยไม่ทำอะไร มีผลทำให้สมองฝ่อได้ เป็นผลให้ปัจจุบัน เด็กอเมริกันรุ่นหลังมี IQ ด้อยลง(สมองมีการ Input อย่างเดียวไม่ได้ใช้ส่วนที่ OUTPUT)
หลักการ ของ Dr. Ryuta จะอธิบายว่าการใช้สมองไปแก้ปัญหายากๆ บ่อยๆ ทำให้สมองไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ สมองมีการพัฒนาการได้น้อย....ขณะที่สมองที่ใช้แก้ปัญหาที่ไม่ยากนักแต่ทำด้วย "สปีตเร็ว" กลับ... สามารถพัฒนาการได้ดีกว่า เปรียบได้ว่า ให้ทำสิ่งที่เป็น เบสิกให้แน่นๆและเร็วๆ ถูกต้อง ไม่ใช่ไปเริ่มทำสิ่งที่ยากๆหรือ Advance เลยมันจะเป็นการไปหยุดยั้งการพัฒนาการทางสมองของคน ซึ่งหลักสูตรของ KUMON ที่ญี่ปุ่นจะสอนการพัฒนา IQ ให้เด็กนักเรียน ด้วยระบบแบบที่ Dr.Ryuta วางเอาไว้ เด็กที่ถูกสอนให้ทำเลขเบสิกให้แน่นๆเร็วๆและถูกต้อง (คำนวน บวกลบคูณหารธรรมดานี่หละ) สามารถไปเรียนรู้สิ่งต่างๆต่อไปได้ประสิทธิภาพดีกว่า เด็กที่เรียนด้วยระบบปกติ(ของญี่ปุ่น)
ถึง 20-30%
ทีนี้ เรื่องการฝึกความจำบ้างการทำงานของสมองด้วยการเขียนอักษรภาพ(คันจิ)การนั่งอ่านหนังสืออย่างเดียว (สมองมีแต่การ INPUT ไม่มี การ OUTPUT) การทำงานของสมองขณะนั่งอ่านและออกเสียงไปด้วย (สมองทำงานได้ดีกว่านั่งอ่านอย่างเดียวเพราะสมองมีการ OUTPUT ออกไปด้วย) ดังนั้น การนั่งอ่านไปด้วย กลับทำให้จำได้แม่นกว่านั่งอ่านอย่างเดียวสรุปคือ ให้ทำโจทย์เลขง่ายๆแต่ทำเร็วๆ ให้สมองพร้อมสำหรับการทำงานเต็มที่ เปรียบดังการทำอะไรที่ควรเริ่มจากง่ายและเบสิก จนพื้นฐานแน่นและสามารถทำได้รวดเร็วแล้วจะ พัฒนาสิ่งนั้นต่อไปที่ยากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้วและควรจะทำอะไรที่มันยากๆให้สามารถทำได้ง่ายๆ เพราะทุกสิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวันมักเป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากเสมอ
"พยายามแล้วพลาด ดีกว่าพลาดที่จะพยายาม"
ที่มา : จากหนังสือ เลขคณิตพิชิตสมองเสื่อม เขียนโดย Dr.ริวตะ คาวาชิมะ แปลโดยคุณ อิศเรส ทองปัสโณว์