อ่านก่อนตาย...ก่อนจะเสียดายที่ไม่ได้อ่าน โดย ภันธกานต์ กิ้มทอง (โจ)

อ่านก่อนตาย...ก่อนจะเสียดายที่ไม่ได้อ่าน โดย ภันธกานต์ กิ้มทอง (โจ)
อ่านก่อนตาย...ก่อนจะเสียดายที่ไม่ได้อ่าน โดย ภันธกานต์ กิ้มทอง (โจ)อ่านก่อนตาย...ก่อนจะเสียดายที่ไม่ได้อ่าน โดย ภันธกานต์ กิ้มทอง (โจ)
รหัสสินค้า SKU-08996
หมวดหมู่ หนังสือ รวมมิตร bookpa(niche)
ราคา 250.00 บาท
จำนวนหน้า 328
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 19 ก.พ. 2563
อัพเดทล่าสุด 6 ธ.ค. 2566
คงเหลือ 1 ชิ้น
จำนวน
ชิ้น
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay
การให้ผลของกรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อน กรรมบางอย่างให้ผลทันตาเห็น   กรรมบางอย่างต้องใช้เวลา กรรมบางอย่างให้ผลครั้งเดียวจบ กรรมบางอย่างให้ผลหลายครั้ง กรรมบางอย่างให้ผลเล็กน้อย กรรมบางอย่างให้ผลรุนแรง และกรรมบางอย่างเป็นอโหสิกรรมยุติการให้ผล
จำนวนหน้า 328 หน้า
          เนื่องจากเรื่องของกรรมมีความสลับซับซ้อนเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะหยั่งรู้ได้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่ากรรมเป็นเรื่อง อจินไตย  หมายถึง เรื่องที่ลึกซึ้งเกินกว่าสามัญชนจะคิดค้นหาคำตอบ ซึ่งเรื่องที่เป็นอจิณไตยมีอยู่ ๔ เรื่อง  คือ
     ๑. พุทธวิสัย พุทธคุณ(พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ) ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีมากเพียงใด 
          ๒. ฌานวิสัย   ผลของฌานและผู้ได้ฌานมีอานุภาพเพียงใด
          ๓.   กรรมวิสัย  ผลของกรรมจะตอบสนองเมื่อใดและอย่างไร
                ๔.   โลกวิสัย     โลกและสัตว์โลกกำเนิดขึ้นได้อย่างไร
                อย่างไรก็ตาม  แม้กรรมจะเป็นเรื่องสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะหาคำตอบให้กระจ่างได้    แต่การศึกษาเรื่องกรรมเพื่อทราบถึงหลักเกณฑ์ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต  เพื่อเป็นแนวทางให้ สร้างกุศลกรรม  และละเว้นอกุศลกรรม
                ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม  บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรม   ด้วยกาย   ด้วยวาจา ด้วยใจ  ก็เกิดแห่งกรรมเป็นไฉน  คือ  ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกรรม   ก็ความต่างแห่งกรรมเป็นไฉน คือ  กรรมที่ให้วิบากในนรกก็มี  ที่ให้วิบากในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็มี ที่ให้วิบากในเปรตวิสัยก็มี  ที่ให้วิบากในมนุษย์โลกก็มี  ที่ให้วิบากในเทวโลกก็มีนี้เรียกว่าความต่างแห่งกรรม
การกำเนิดเกิดก่อเป็นชีวิตในร่างกายมนุษย์นั้นนับได้ว่าเป็นการกำเนิดที่ยากที่สุดในโลกอีกแห่งหนึ่งในการดำรงเผ่าพันธุ์เพราะการกำเนิดในโลกโดยเฉพาะการเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่งในดินแดนนี้เป็นดินแดนแห่งการสร้างกรรมต่างๆ ได้ดีที่สุดจะไปเกิดในภพภูมิทั้ง 3 ไตรโลกธาตุจำต้องอาศัยดินแดนแห่งการสร้างกรรมต่างๆ   ได้ดีที่สุด  จะไปเกิดในภพภูมิทั้ง 3  ไตรโลกธาตุจำต้องอาศัยดินแดนนี้เป็นแหล่งเพาะเชื้อกรรมทั้งกุศลและอกุศลจะไปเกิดในแดนสวรรค์  แดนพรหม   แดนนรกภูมิ  หรือแดนพระนิพพานก็ล้วนอาศัยการสร้างกรรมในโลกมนุษย์ทั้งสิ้นเป็นเหตุให้นำพาไปเกิดกรรมเป็นเครื่องอาศัยนำพาให้ไปเสวยผล.....  ฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์จึงเป็นการยากยิ่งไม่ใช่โอกาสนั้นจะมีอยู่เสมอบางคนเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเกิดความไม่พอใจในชาติความเป็นมนุษย์ของตนนั้นนับได้ว่าเขาขาดโอกาสที่จะสร้างสมกรรมกุศลให้ยิ่งๆ  ขึ้นไป   ขาดการสร้างโอกาสที่ดีงามให้แก่ดวงจิตของตนให้เกิดอินทรีย์บารมีแก่กล้าขึ้นในดวงจิตเพราะการเสวยผลบุญนั้นจำต้องอาศัยดวงจิตเป็นผู้เก็บข้อมูลของกรรมทั้งปวง   การจะไปเสวยกรรมดีหรือกรรมไม่ดีนั้นจำต้องอาศัยดวงจิตวิญญาณเป็นสำคัญยิ่งแห่งทุกชีวิตที่มีจิตวิญญาณครอง…... และการเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้นบางช่วง บางยุค ก็มีอายุขัยยืนยาวนับหมื่นปี   บางช่วงอายุขัยก็มีอายุไม่ถึงร้อยไปก็หมดอายุขัยไปตามสภาพของธรรมชาติในสภาวะแวดล้อมนั้นๆ   จึงกล่าวได้ว่าชีวิตนั้นช่างน้อยนัก หากผู้ไม่ชาญฉลาดในกองกุศลความดีทั้งปวงในโลกมนุษย์ย่อมถือได้ว่าเป็นชีวิตที่ขาดทุนอย่างยิ่งในโลกใบนี้.…….
                หลายๆ  บุคคลที่เดินจากสถานที่ต่างๆ  ที่เข้ามาพบสนทนากับอาจารย์ทิพากร    รินไธสงค์  ต่างได้เข้ามาปรึกษาเกี่ยวกับความปรารถนาที่จะมีบุตร - ธิดา  ไว้สืบสกุลเนื่องเพราะก่อนหน้านี้ต่างไปพึ่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาทุกรูปแบบแล้วก็ไม่ประสบผลในการที่จะได้บุตรมาสืบสกุล หรือหวังพึ่งในยามแก่ชราที่เป็นความเชื่อของคนในโลกนี้ที่หวังพึ่งสิ่งภายนอกตนแต่หาได้คำนึงถึงที่พึ่งในตนเองเหมือนที่พระพุทธองค์ตรัส ... อัตตาหิ   อัตโนนาโถ   ตนแล  เป็นที่พึ่งแห่งตน   เมื่อผู้คนหวังพึ่งสิ่งภายนอกและปรารถนาเหล่านั้น   ต่างก็มาขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องกรรมจากอาจารย์ทิพากร  อยู่เสมอๆ   โดยท่านอาจารย์ทิพากรได้กล่าวให้ทราบว่า ......
                “บางคนไม่มีลูกไปทำทุกทางในทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่สำเร็จผมก็บอกให้เขาทราบว่าผมเห็นอยู่ที่ต้นไทรต้นหนึ่งมีเทพตนหนึ่งกำลังจะไปจุติให้ไปขอบุตรที่นั้นแต่ผมเองต้องเช็คดูกับวิญญาณตนนั้นด้วยว่ามีบุพกรรมร่วมกับผู้ที่จะเป็นพ่อเป็นแม่ด้วยหรือไม่และร่างกายของคนที่จะเป็นแม่นั้นมีความพร้อมสมบูรณ์หรือไม่  อย่างบางกรณีผมเห็นเทพจะมาจุติในร่างกายผู้ที่จะเป็นแม่แต่วิญญาณเทพตนนั้นไม่มีบุญสัมพันธ์ร่วมกันมากพอที่จะมาเกิดโดยมาอาศัยกายหยาบของแม่ผู้นั้นได้  ไม่มีบุญที่จะไปใช้สมบัติของวงศ์ตระกูลได้เนื่องเพราะไม่มีบุญสัมพันธ์ต่อกัน ก็มีเหตุทำให้เกิดการแท้งลูกขึ้นมาได้เกิดความวิบัติทางกายขึ้นมาได้   อย่างบางคนในอดีตชาติมีชีวิตอยู่ด้วยความยุ่งยากลำบากในการดำรงชีพด้วยมีบุตรหลายคนก็อธิษฐานไม่ขอมีบุตรในชาติหน้าก็มีเวลาจะตั้งครรภ์ก็ทำให้มีเหตุให้แท้งประจำทั้งๆ  ที่ไม่มีสิ่งใดมากระทบ”
 
“อย่างบางคนในชาตินี้ไม่มีบุตรมาเลยแต่ก็ต้องมีเหตุให้ต้องมีการนำเด็กมาอุปการะเลี้ยงดูเด็กนั้นทั้งๆ ที่ไม่ใช่ลูกตนเอง   ที่เป็นเช่นนี้เพราะเนื่องจากในกรรมอดีตชาติหลายร้อยปีล่วงมาเด็กคนนั้นเคยเกิดเป็นยายเคยเลี้ยงดูเขามาก่อนชาตินี้จึงได้มีกรรมผูกพันต่อกันและได้มาดูแลกันในชาติปัจจุบันนี้ก็มี” 
                ผลของกรรมที่อาจารย์ทิพากร    รินไธสงค์   ได้เผยให้ทราบ  “ในแต่ละวิบากกรรมของผู้คนที่ยังสงสัยในเรื่องกรรมในอดีตชาติ   เมื่อเรารู้แล้วในเรื่องกรรมนั้นๆ   ก็ให้รู้จักปล่อยวางแล้วทำจิตใจให้ผ่องใสเพื่อเปิดทางให้สิ่งดีๆ   กรรมกุศลในอดีตชาติ และบุญที่เราได้เปิดบุญ - เบิกบุญและการอุทิศบุญที่เราสร้างสมไว้อุทิศให้แก่เหล่าเทพเทวดา   พรหม  วิญญาณ  เจ้ากรรมนายเวรที่ตามเบียดเบียนเราและขออำนาจพระพุทธ   พระธรรม  พระสงฆ์   ขออำนาจบุญที่เราทำไว้ให้เข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนให้สิ่งดีๆ  เข้าหาได้โดยง่ายเนื่องเพราะจิตมีพลังย่อมดึงดูดกรรมที่ดีเข้าหาเราได้ง่ายขึ้น   ปัญหาอุปสรรคต่างๆ  ก็เบาบางลง  จิตเบาปลอดโปร่งย่อมทำให้เกิดปัญญา  สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ถูกต้อง   มีผลต่อแง่ธุรกิจ  การงานให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นได้  รู้จักการปล่อยวางอารมณ์ที่พอใจและไม่พอใจ   เพียงเท่านี้จิตย่อมสงบมีพลังจิต  แต่ถ้าหากช่วงใดจิตเราหดหู่เศร้าซึมหงอยเหงาย่อมจะเปิดทางให้วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรเข้าแทรกได้ ลองสังเกตหากเราคิดเรื่องไม่ดีตลอดเวลาจิตขุ่นมัวเรามักจะเจอแต่เรื่องร้ายๆ  ตลอด วิธีแก้ไขคือ ให้อุทิศบุญกุศลนั้นให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ที่ตามเบียดเบียนเรา   วิญญาณเทพพรหมที่มีบุญสัมพันธ์ให้มาช่วยเหลือกิจการงานของเราเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตเห็นผลจริงในปัจจุบันนำบุญในปัจจุบันและบุญในอดีตชาติอธิษฐานให้ส่งเสริมหนุนชะตาชีวิตให้เห็นผลในปัจจุบัน....  หากเราทำใจโปร่งๆ   สบายๆ  ก็เหมือนดาวที่สว่างไสวในยามค่ำคืนแม้จะมีอุปสรรคมากมายเพียงใดมากระทบก็อย่าให้ความลังเลสงสัยเข้าครอบงำในบุญกุศลขอให้เชื่อมั่นว่าที่พึ่งของมนุษย์นั้นมีเพียงบุญเท่านั้นหากทำใจให้เบิกบานสร้างอารมณ์ปิติขึ้นในจิตนั้นแหละคือจิตทรงอารมณ์ฌาน ขั้นที่ 1   อย่างอัตโนมัติ”
เป็นกฎธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้น  แต่เป็นกฎที่มีอยู่แล้ว       
                อันชีวิตของเราทุกคนนั้นถูกควบคุมไปด้วยกฎแห่งกรรม   ไม่มีใครมาควบคุมชีวิตของเรา
                เมื่อว่าตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว  ชีวิตของเราทุกคน  ไม่ว่าจะเสื่อม  จะเจริญ   จะสุข   จะทุกข์   จะก้าวหน้า   จะถอยหลัง   จะอายุสัตว์  จะอายุยืน   ขึ้นอยู่กับกรรม  คือ  การกระทำของเราเองทั้งสิ้น   ไม่ใช่ขึ้นอยู่ที่อำนาจดาว ไม่ใช่อำนาจพระเจ้า   ไม่ใช่อำนาจสิ่งภายนอกอื่นใด   ว่าจะมาดลบันดาลชีวิตของเราให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้
                แม้การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เพราะกฎแห่งกรรม   และการที่เราได้ฝึกกรรมฐาน   ก็เพราะกรรมดลบันดาลให้เรามาฝึกกรรมฐาน   และการที่เราฝึกได้  มีผล  มีจิตใจสงบตามสมควรนั้น  ก็คือกรรมที่เราสั่งสมไว้  ดลบันดาลให้เราประสบสิ่งเหล่านั้น  หาใช่เกิดขึ้นโดยเหตุบังเอิญไม่
                เราต้องทำความเข้าใจในหลักพระพุทธศาสนาของเราว่า  พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งหลักธรรม    ในพุทธศาสนานั้น เราเชื่อในกฎแห่งกรรม
                กฎแห่งกรรมกล่าวได้ย่อ ๆ  ว่า  “ผู้ที่ทำดีย่อมได้รับผลดี   ผู้ที่ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว  ไม่เร็วก็ช้า”   เพราะกรรมบางอย่างให้ผลเร็ว  กรรมบางอย่างให้ผลช้า  กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ผลของกรรม
                โชคดีหรือโชคร้ายที่เราได้ประสบอยู่ในปัจจุบัน   ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรืออำนาจดวงดาวใดๆ   เลย  แท้ที่จริง  ขึ้นอยู่กับผลกรรมที่เราได้สั่งสมไว้ในอดีตติดตามมาให้ผลในปัจจุบันนั้นเอง   และการที่เราจะได้รับความสุขความทุกข์อยู่ในปัจจุบัน  ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราได้สร้างไว้ในปัจจุบันอย่างเดียว   อาจจะขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตด้วย เราต้องยอมรับในอดีตชาติ ต้องยอมรับการกระทำของเราในชาติที่ผ่านมาว่า เป็นสิ่งที่เราทำไว้เอง   และสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน  เราก็ต้องยอมรับด้วยว่า นั้นคือสิ่งที่ดลบันดาลชีวิตของเราให้เป็นไปในอนาคต  และเป็นไปตามกฎแห่งกรรมนั้น
                แท้ที่จริง  กฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนานั้น   ตรงกับกฎของ Newton  คือ  กฎ  กิริยา  (action)  และ ปฏิกิริยา  (reaction) ของนิวตันแต่กฎนี้เป็นกฎทางด้านวัตถุ มีกฎเกณฑ์อยู่ว่าเหมือนกับลูกเทนนิสที่ขว้างลงไป   ถ้าขว้างลงแรงมันก็กระดอนแรง   ถ้าขว้างลงเบามันก็กระดอนมาเบา  กรรมที่เราทำก็เหมือนกัน   ถ้าทำกรรมดีลงไป  สิ่งที่กระดอนลงมาก็เป็นกรรมดี   ถ้าทำกรรมไม่ดีลงไป  สิ่งที่กระดอนลงมาก็คือกรรมไม่ดี  นี้เป็นกฎด้านจิตใจ
                ด้วยกฎแห่งกรรมนี้แล้ว   คนเราไม่อาจจะหวังผลดีของสิ่งที่ยังมาไม่ถึง  คือ สิ่งไหนที่ยังมาไม่ถึง  เราจะไปเล็งผลไว้ไม่ได้   หรือเราทำชั่วไว้แล้ว  เราจะวิ่งหนีจากผลกรรมชั่วที่เราทำไว้ก็ไม่ได้   เพราะฉะนั้นมันต้องถึงกาลเวลาของกรรม   จึงจะเป็นไปตามกฎธรรมชาติของกรรม…..  นี่คือสาเหตุที่ว่า
                “ทำไม  คนเราจึงเกิดมาแตกต่างกัน?” พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เพราะกรรมจำแนกให้แตกต่างกัน    กมฺมํ  สตฺเต  วิภชฺช  ยทิทํ  หีนปฺปณีตตาย “กรรมย่อมจำแนกสัตว์โลกให้แตกต่างกัน  คือ เลวทรามหรือประณีต”
ผู้คนในวัฏฏสงสาร  กลุ่มหนึ่งต่างมีความคิดและเชื่อว่าอำนาจดวงดาว  พระพรหม คือ ผู้ลิขิตกรรมต่างๆ   ให้แก่มวลมนุษย์โลก จริง.... เนื่องเพราะมี หลักสถิติ ของพรหมที่สืบทอดมานานนับหลายพันปี  ได้บันทึกไว้ถึงบุคลิกลักษณะของบุคคลที่เกิด  วัน เดือน ปี  ราศี  ต่างๆ จะต้องมีลักษณะเช่นนั้น เช่นนี้  ผู้คนจึงเกิดความเชื่อนั่นเองว่า พระพรหมคือ ผู้ลิขิตกรรมของมนุษย์  เพราะถ้าหากชีวิตถูกกำหนดไว้ด้วยอำนาจพระพรหมจริง ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วจริงๆ   มนุษย์ผู้รอความหวังแห่งโชคชะตา   พรหมลิขิต จะประพฤติหมั่นสร้างความดีเพื่ออะไร การทำชั่วจะมีผลอะไร ในอนาคตต้องรอให้พรหมลิขิตชีวิตไม่ดีกว่าหรือ เพราะจะรวยจะจนอยู่ที่อำนาจพระพรหม มิใช่หรือ.....  แล้วการทำคุณงาม  สร้างกรรมดี   จะมีผลอันใดเล่า
                อาจารย์ทิพากร    รินไธสงค์  เกิดความสงสัยในข้อธรรมเหล่านี้  จึงได้ถอดจิต กายทิพย์ขึ้นไปดินแดนแห่งหนึ่งมีจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล มองเห็นมีแต่ความมืดมิด มองเห็นวัตถุต่างๆ คล้ายฝุ่นละอองลอย คือ โลก  ดาวนพเคราะห์ต่างๆ   ที่มีแสงสว่างไสว  ดาวฤกษ์   ดวงต่างๆ  ลอยเด่น  ดินแดนแห่งนี้มีความยิ่งใหญ่อลังการ  ท้องฟ้ากว้างขวางสุดลูกหูลูกตา   ไม่มีเส้นตัดขอบฟ้า ปรากฏสีระยิบระยับ  จิตผู้รู้  บอกให้ทราบ
       “ชั้นอาภัสสราพรหม พรหมโลกชั้นที่ 6”  
                รุ่งโรจน์แห่งรัศมีนานาแสงสว่าง มีอายุขัย 8 มหากัป  เนื่องเพราะบุพกรรม  ในอดีตที่เกิดเป็นมนุษย์ ได้บำเพ็ญสมถภาวนาจนสำเร็จทุติยฌานได้อย่างประณีต
                กายทิพย์อาจารย์ทิพากร ได้พบกับท่านท้าวมหาพรหม จึงได้ถาม
                “ท่านเป็นผู้กำหนดชีวิตของผู้คนในโลกมนุษย์ไว้แล้วทั้งหมดใช่ไหม”
                ท้าวมหาพรหมตอบให้ทราบ
                “ไม่ใช่เลย เราไม่ใช่ผู้ลิขิต เราไม่ใช่เป็นผู้กำหนดชีวิตของมวลมนุษย์เลย เราไม่ใช่ผู้ลิขิต เราเห็นแต่การเปลี่ยนแปลงของทุกชีวิต อยู่อย่างนี้มานาน แม้แต่การดับ  ของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เราเห็นมานาน เราไม่ใช่ผู้ลิขิตชีวิตเขาเลย  กรรมเขาต่างหาก  บุญเขาต่างหาก  กรรมดี กรรมไม่ดี ต่างหาก  ที่เป็นผู้ลิขิตเขา ให้พลัดพาไปสู่การเกิดก็ดี   ในชาติตระกูลสูง   ต่ำก็ดี   เกิดในสกุลตำแหน่งต่ำต้อยก็ดี  เกิดเป็นนู่น เป็นนี่ก็ดี กรรมของเขาต่างหาก  เราเห็นอย่างนั้นมานาน”
                อาจารย์ทิพากร จึงได้ถามเกี่ยวกับเรื่องของกรรมต่อไป  
                “แล้วใครเป็นผู้ลิขิตของกรรม แล้วกรรมนั้นจะเกิดตรงไหน  กรรมนั้นจะส่งผลมาช้าเร็ว    อย่างไร?”
                ท้าวมหาพรหม  ผู้มีอายุขัยนานหลายมหากัป  ตอบให้ทราบ
                “เราไม่รู้   เรารู้เพียงแต่ว่าเราอยู่อย่างนี้มานาน  เห็นแต่การเปลี่ยนแปลง ของสัตว์ที่อยู่เบื้องล่าง”
         ท่านตอบอย่างนี้ ท่านเองก็ยังอยู่ในวัฎฎสงสาร เช่นกัน ด้วยความไม่รู้เหมือนกัน
                “แล้วจะถามต่ออีกไหม”
                ท้าวมหาพรหม ถามอาจารย์ทิพากร
                “ถ้างั้นใครรู้ล่ะ”
                อาจารย์ทิพากร  เกิดความสงสัย   จากนั้นจึงได้กำหนดจิตสู่ชั้นพรหมโลก   ในชั้นอื่นๆ   ถามกับท้าวมหาพรหมองค์อื่นๆ ก็ได้รับคำถามเช่นนั้น คือ “ไม่รู้เหมือนกัน” จากนั้นกายทิพย์อาจารย์ทิพากร จึงเคลื่อนย้ายกลับเข้าสู่กายเนื้อดังเดิม จึงได้มาพิจารณาธรรมดูถึงชีวิตของตนเอง และผู้อื่นโดยอาจารย์ทิพากร  กล่าวให้ทราบว่า
                “เราท่าน  เคยสังเกตดูไหมว่า   ถ้าใจหดหู่แล้วทำอะไรไป  ก็จะรู้สึกว่ามีแต่เรื่องร้ายๆ   ใจเศร้า  ใจไม่เบิกบาน   ทำอะไรก็มีแต่เรื่องร้าย ๆ  เข้ามาสู่ชีวิต สามีก็ดี  ภรรยาก็ดี ลูกก็ดี หรือบุคคลอื่นก็ดี ใจเครียดเศร้าไม่เบิกบาน  ใจนี้ก็จะเปิดโอกาสให้กรรมเก่า เข้ามาประดังเข้ามา แม้แต่กรรม  เมื่อครั้งก่อนจะตาย  ถ้าใจเศร้าหมอง  จิตเศร้าหมอง   ก่อนที่ธาตุทั้ง ๔  จะหมดสภาพ  ในหน้าที่การงาน  ก่อนตายใจยังเศร้าหดหู่อยู่  หูก็ได้ยินแต่เสียงแว่ว  ได้ยินแต่เสียงลูกหลานร้อง  ระงม บ้างก็แต่งห่อผ้าให้  บ้างก็บอกพ่อว่าอย่างเพิ่งไป ๆ จิตสับสน  สับสนทั้งภาพ บันทึกในอดีต  ที่มีแต่กรรมสีดำ  ฆ่าวัว  ฆ่าหมู   ฆ่าเป็ด  ฆ่าไก่  เบียดเบียนสัตว์   คำดุด่า  ต่างๆ ผุดขึ้นมาก้องอยู่ในหู  ก้องอยู่อย่างนั้นในใจสับสน ส่งไปเกิดที่แดนอบายภูมิ ทันทีเลยหากตายไป  อยู่ตรงนี้นี่เอง จิตผ่องใสเบิกบานหรือไม่  ถ้าภาพสุดท้ายมีเสียงสวดมนต์  คำแผ่เมตตาของลูก  “ขอพ่อจงเป็นสุขๆ  เถิด พ่อทำใจเบิกบานนะ พ่อท่อง อิติปิโส ภควา นะ ลักษณะนี้ผมเห็นจิตดวงนั้น ขึ้นสู่เทวนคร เป็นเทพเจ้า  เทวดาชั้นใดชั้นหนึ่ง ตามอาการของภูมิจิต    บางครั้งจิตดวงหนึ่งก็วาง  บางครั้งได้ยินเสียงใดๆมากระทบผุดขึ้นมาก็วางดีหรือไม่ดี  ก็วาง  รักษาใจให้ใสบริสุทธิ์อย่างนั้น  วางเห็นแต่ความทุกข์ของการเกิด ภพที่เป็นสุคติภพรอข้างหน้า   เราเห็นทุกข์เห็นความไม่เที่ยง อนิจจัง  ของภพต่างๆ  เห็นความไม่เที่ยงฌานบางคนฝึกกรรมฐานมามากๆ  ติดอารมณ์ในฌานกรรมฐานมากเกินไป อัปปนาสมาธิ ก็ไปเกิดเป็นท้าวมหาพรหม อายุยืนยาว   วางให้หมด   มีสติอยู่ตลอดประคองจิตตลอด   (เกิดอาสวขญาณ)  ผมเห็นดวงจิตนั้นเข้าสู่แดนพระนิพพานนั้นหายไปเลยเข้าสู่มิติ   พระนิพพาน ฉะนั้นรักษาใจให้ผ่องใสเถอะ  แม้ชีวิตธรรมดาในความเป็นมนุษย์  ยังไม่ตายก็ดี  ถ้าใจผ่องใส แล้วก็สำเร็จประโยชน์โดยง่าย นี้คือประโยชน์ของใจผ่องใส”
                ในสมัยพุทธกาลมีอุบาสก  นามว่า ธัมมิกอุบาสก  เมื่อป่วยหนักจวนจะตายก็ให้ลูกๆ  ไปนิมนต์พระมาสวดให้ฟัง พอพระมานั่งล้อมเตียงเข้าแล้วก็ถามว่า “ท่านจะฟังพระสูตรไหน?”  ธัมมิอุบาสกก็บอกว่า “ผมต้องการฟังสติปัฏฐานสูตร”   พระก็สวดให้ฟัง  อุบาสกนี้ก็ตั้งใจฟัง  พอฟัง  ใจเคลิ้มไป มีภาพเทวดามาปรากฏแก่ตนในขณะนั้นว่ามีเทวดาเอารถจากสวรรค์   ๖  ชั้นมารับ  ในที่สุดอุบาสกคนนี้พอฟังธรรมแล้ว เมื่อตายไปก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต  เพราะทำความดีมาตลอด
                อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องนางมัลลิกา  ซึ่งเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลในสมัยพุทธกาล  พระนางทำความดีมามาก   แต่เวลาจวนจะสิ้นพระชนม์ไม่ทรงคิดถึงความดี   ไปคิดแต่เรื่องความชั่วที่โกหกพระสาวมีไว้ แล้วมานั่งคิดดูว่า “เรื่องที่เราโกหกนี้  พระสาวมีจับไม่ได้ก็จริง แต่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ก็คงรู้  เราทำไม่ถูก  ไม่สมควร”
                เมื่อจวนจะสิ้นพระชนม์  พระนางมัลลิกา  ซึ่งเป็นผู้อุปการะต่อพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์มาก  บำรุงพุทธศาสนามาก  แต่จวนจะสิ้นพระชนม์  จิตเศร้าหมอง คิดแต่เรื่องอกุศลที่ตัวทำไว้อย่างเดียวเท่านั้น   แต่ไปคิดมาก  คิดบ่อย  พอนางสิ้นพระชนม์  ก็ไปตกนรกทันที
                เมื่อพระมเหสีสิ้นพระชนม์   พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
                “ขณะนี้พระนางมัลลิกาไปเกิดที่ไหน”  
                พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้นทรงรักพระมเหสีมาก  ถ้าพระองค์ตรัสตอบโดยตรงว่า  ขณะนี้พระนางไปอยู่ในนรก  พระเจ้าปเสนทิโกศลจะเลิกนับถือพระพุทธศาสนาแน่  และจะล้างพระพุทธศาสนาหมดจากแคว้นของพระองค์แน่  พระพุทธเจ้าทรงทราบดี  พอพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปประทับที่นั่งพระคันธกุฎีในวัดพระเชตะวัน   พระพุทธองค์ก็ทรงใช้อำนาจจิต  ดลบันดาลใจให้ทรงสนทนาเรื่องอื่นเสีย   จนพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงลืมไป  คิดว่าจะมาทูลถามเรื่องพระมเหสี  ก็มัวคุยเรื่องอื่นไปเสีย แล้วเสด็จกลับวังโดยมิได้ทูลถามเรื่องนี้
                พอเลย ๗ วันแล้ว กรรมที่พระนางมัลลิกาทำไว้ก็หมดไป พระนางก็จุติจากนรกไปเกิดในสวรรค์   เพราะอกุศลกรรมทำไว้ไม่มาก   พอนางไปเกิดในสวรรค์แล้ว    พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงนึกถึงเรื่อง พระมเหสีได้  ได้เสด็จมาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
                “พระนางไปเกิดที่ไหน”
                ตอนนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงดลบันดาลพระทัยแล้ว    ตรัสตอบโดยตรงเลยว่า 
                “ขณะนี้พระนางเกิดบนสวรรค์แล้ว”
                พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ตรัสว่า
                “ใช่แล้ว  คนทำความดีมากอย่างนี้ ต้องไปเกิดในสวรรค์”  
                แต่ไม่ทรงทราบว่าพระนางไปเกิดในนรกมาก่อนแล้ว เพราะจิตเศร้าหมอง
                เพราะฉะนั้น  อสันนกรรมนี้จึงเป็นกรรมที่สำคัญมาก  แม้มันจะไม่มาก   แต่มันอยู่ใกล้กับปากทางความตาย  มันจึงให้ผลก่อน   ท่านเปรียบกรรมชนิดนี้ว่า  เหมือนกับฝูงโคที่แออัดยัดเยียดอยู่ในคอกถ้าตัวใดอยู่ที่ปากประตูทางออก  แม้จะมีกำลังอ่อนก็ต้องออกก่อน  เพราะอยู่ปากประตู  กรรมที่มนุษย์ สัตว์  ทำไว้เมื่อจวนเจียนจะตายนี้ก็เหมือนกัน   แม้จะไม่หนัก  แต่มันอยู่ใกล้  เมื่อจวนเจียนจะตาย  มัน
 
จะพาไปก่อน  เพราะฉะนั้นกรรมนี้ก็ต้องระวังหากบุคคล  ทำกรรมเมื่อจวนจะตายก็ต้องนึกถึงแต่กรรมดี   ผู้ฝึกกรรมฐานบ่อยๆ   นั้น   ย่อมกำไรว่าคนอื่น  คือนึกถึง  พุทโธ  หรือนึกถึงความดีอยู่เรื่อยๆ  มันเป็นตัวหนุน แล้วกรรมที่ผู้นั้นเคยทำไว้  มันจะทำหน้าที่มาเป็นอาสันนกรรม   นำจิตเราพุ่งขึ้นไปสู่สุคติได้

วิธีการชำระเงิน

บมจ. ธนาคารกสิกรไทย สาขาวัชรพล ออมทรัพย์
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาแฟชั่น ออมทรัพย์
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) สาขาเดอะมอลล์ ออมทรัพย์
พร้อมเพย์ สาขา- mobile
Scan this!
ณัทกร อภิรติกุล
094-xxxxxx-4
Accept All Banks | รับเงินได้จากทุกธนาคาร

Categories

STATISTICS

หน้าที่เข้าชม1,371,858 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท21 ก.ย. 2568

CONTACT US

0947895624

TRACKCODE

  • ค้นหา
*ใส่ เบอร์มือถือ หรือ email ที่ใช้ในการสั่งซื้อ

เข้าร่วมร้านค้า

ร้านbookpanich
ร้านbookpanich
/www.bookpanich.com/
Join เป็นสมาชิกร้าน
233
สมัครสมาชิกร้านนี้ เพื่อรับสิทธิพิเศษ

ระบบสมาชิก

รายการสั่งซื้อของฉัน
เข้าสู่ระบบด้วย
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก

ยังไม่มีบัญชีเทพ สร้างบัญชีใหม่ ไม่มีค่าใช้จ่าย
สมัครสมาชิก (ฟรี)
รายการสั่งซื้อของฉัน
ข้อมูลร้านค้านี้
ร้านbookpanich
bookpanich
ศูนย์รวมหนังสือเก่าหายาก (Rare Item) และหนังสือใหม่ (ทุกประเภท) หลากหลายสำนักพิมพ์ หนังสือบางเล่ม " อาจมีราคาสูงกว่าราคาปก " เพราะเป็นหนังสือหายาก ทางร้าน "มีต้นทุนที่สูง ในการจัดหา" และต้องใช้้เวลาในการค้นหา ลูกค้าสามารถ กดสั่งซื้อ หยิบลงตะกร้า (Add To Cart) ก็สั่งซื้อได้ทันที สามารถ....ค้นหาชื่อหนังสือ ด้านบน กดตรงแว่นขยาย นโยบายการคืนสินค้า หากลูกค้าไม่พอใจในสินค้า ทางร้านยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะคืนเงินให้ลูกค้าเต็มจำนวน และขออภัยเป็นอย่างยิ่ง กับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ลูกค้าสามารถแจ้งคืนได้ภายใน 7 วัน ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
เบอร์โทร : 0947895624
อีเมล : tt2456@hotmail.com
ส่งข้อความติดต่อร้าน
เกี่ยวกับร้านค้านี้
สินค้าที่ดูล่าสุด
ดูสินค้าทั้งหมดในร้าน
สินค้าที่ดูล่าสุด
บันทึกเป็นร้านโปรด
Join เป็นสมาชิกร้าน
แชร์หน้านี้
แชร์หน้านี้

TOP เลื่อนขึ้นบนสุด
พูดคุย-สอบถาม